ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 2566 ภาษีที่ดินคืออะไร? ราคาเท่าไหร่ ข่าวดีคือในปี 2566 ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะยังคงเก็บในอัตราเดียวกับปี 2563-2565 และเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ครม.ยังมีมติให้ลดภาษีที่ดินลง 15% ในปี 2566 เราจะเสียภาษีที่ดินน้อยลง ดังนั้นใครที่มีบ้าน คอนโด บ้านเช่า ที่ดิน ที่นา ควรศึกษาข้อมูลภาษีที่ดินปี 2566 เพื่อนำไปคำนวณภาษีที่ดิน และเสียภาษีให้ถูกต้อง
ภาษีที่ดิน 2566 ใครต้องเสียบ้าง
เจ้าของที่ดิน/เจ้าของสิ่งปลูกสร้าง/เจ้าของห้องชุด (กรณีนี้อาจไม่ใช่เจ้าบ้านก็ได้ เพราะหากเจ้าบ้านไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่มีชื่อในโฉนดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น เจ้าบ้านก็ไม่ใช่ผู้ที่ต้องเสียภาษี)
ผู้ครอบครองซึ่งใช้ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างของรัฐ เช่น ผู้เช่าที่ราชพัสดุ แม้จะไม่ใช่เจ้าของสถานที่แต่ก็เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมายนี้
ครอบครองหรือทำประโยชน์ในที่ดินหรืออาคารนั้นในวันที่ 1 มกราคมของปีนั้น เช่น ซื้อคอนโดมิเนียม ในวันที่ 25 ธันวาคม 2565 จะต้องเสียภาษีที่ดินในปี 2566 เพราะถือว่าได้ครอบครองภายในวันที่ 1 มกราคม 2566 คุณจะไม่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี 2567 ในกรณีที่เจ้าของที่ดินและเจ้าของอาคารบนที่ดินนั้นเป็นคนละคนกัน ให้แต่ละคน เสียภาษีเฉพาะส่วนที่ตนมี
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 2566 จ่ายเท่าไหร่
สำหรับอัตราภาษีที่ดินแบ่งออกเป็น 4 ประเภทตามลักษณะการใช้ประโยชน์ ได้แก่ เกษตรกรรม ที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม ภาษีก็ขึ้นแบบขั้นบันไดตามราคาประเมิน ดังนี้
1. ที่ดินเกษตรกรรม เพดานภาษีสูงสุด 0.15%
การใช้ที่ดินทำไร่ ทำสวน เลี้ยงสัตว์ และเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นภาคเกษตร กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การปลูกต้นไม้แล้วไม่สามารถปลูกต้นไม้ได้มากเท่าที่ต้องการ เช่น
- ปลูกกล้วย ขั้นต่ำ 200 ต้น/ไร่
- ปลูกกาแฟ พันธุ์โรบัสต้า ขั้นต่ำ 170 ต้น/ไร่, พันธุ์อาราบิก้า ขั้นต่ำ 533 ต้น/ไร่
- ปลูกขนุน ขั้นต่ำ 25 ต้น/ไร่
- ปลูกมะม่วง, มะพร้าว, ทุเรียน, ลิ้นจี่, ลำไย ขั้นต่ำ 20 ต้น/ไร่
- ปลูกมะนาว ขั้นต่ำ 50 ต้น/ไร่
อัตราภาษีที่ดินเกษตรกรรมปี 2566
กรณีเจ้าของที่ดินเป็นบุคคลธรรมดา :
- หากมีที่ดินเพื่อการเกษตรมูลค่าต่ำกว่า 50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษี
- หากมีที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท ให้ยกเว้น 50 ล้านบาทแรกต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ส่วนเกิน 50 ล้านบาทแรกเก็บภาษีตามอัตราปกติ
กรณีเจ้าของที่ดินเป็นนิติบุคคล : เสียภาษีที่ดินตามอัตราปกติ
2. ที่พักอาศัย เพดานภาษีสูงสุด 0.30%
การจัดเก็บภาษีที่อยู่อาศัยจะแบ่งออกเป็นสามกรณี:
- บ้านหลังหลัก (บุคคลธรรมดาเป็นเจ้าของทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน)
บ้านหลักคือการที่เราเป็นเจ้าของทั้งที่ดินและอาคาร มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน กรณีนี้ได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับส่วนที่ไม่เกิน 50 ล้านบาท แต่หากมีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท ส่วนที่เกินจะต้องเสียภาษีตามอัตราปกติ
- บ้านหลังหลัก (บุคคลธรรมดาเป็นเจ้าของเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน)
แบบที่สองคือบ้านหลังหลักที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2565 แต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เช่น ซื้อคอนโดมิเนียมหรือสร้างบ้านบนที่ดินเช่า ในกรณีนี้ 10 ล้านบาทแรกจะได้รับการยกเว้นภาษี
- บ้านหลังอื่น ๆ เช่น บ้านหลังที่ 2 ขึ้นไป หรือบ้านที่ไม่มีชื่อเราอยู่ในทะเบียนบ้านกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือบ้านตั้งแต่บ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไป จะต้องเสียภาษีทั้งหมด ส่วนผู้ที่มีบ้านหลายหลังการจะได้ที่ดินหรือไม่นั้นเป็นเรื่องการตัดสินใจในระดับบุคคล
3. ที่ดินใช้ประโยชน์อื่น นอกจากเกษตรกรรมและที่อยู่อาศัย เพดานภาษีสูงสุด 1.20%
ภาษีอากรในหมวดนี้ หมายถึง ที่ดินอื่นที่ไม่ได้ใช้เพื่อเกษตรกรรมและที่อยู่อาศัย เช่น ใช้ในเชิงพาณิชย์ เช่น โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ โรงงาน หอพักรายวัน บ้านเช่ารายวัน
4. ที่รกร้างว่างเปล่า เพดานสูงสุด 3%
กลุ่มที่จ่ายภาษีแพงที่สุดคือที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์สำหรับการเกษตรหรือธุรกิจใดๆ
ภาษีที่ดิน คำนวณอย่างไร
- ที่ดินที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง
- ภาษีที่ต้องจ่าย = มูลค่าที่ดิน x อัตราภาษี
- โดยมูลค่าที่ดิน = ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ที่ดิน
- ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
- ภาษีที่ต้องจ่าย = (มูลค่าที่ดิน + มูลค่าสิ่งปลูกสร้าง) x อัตราภาษี
- โดยมูลค่าที่ดิน = ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ที่ดิน
- มูลค่าสิ่งปลูกสร้าง = (ราคาประเมินทุนทรัพย์โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง) – ค่าเสื่อมราคา
- ห้องชุด
- ภาษีที่ต้องจ่าย = มูลค่าห้องชุด x อัตราภาษี
- โดยมูลค่าห้องชุด = ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่ห้องชุด (ตร.ม.)
คาดว่าในปี 2566 เจ้าของที่ดินอาจต้องเสียภาษีที่ดินเพิ่มขึ้น เนื่องจากกรมธนารักษ์ได้ประกาศราคาประเมินที่ดินใหม่สำหรับปี 2566-2569 ในวันที่ 1 มกราคม 2566 ซึ่งทำให้ราคาประเมินทั่วประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8% พื้นที่กรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 3%พื้นที่ใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้าแพงสุดตารางวาละล้านกว่าบาท